วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

สุนทรียสนทนา:ปัญญาสามฐาน บทเรียนจากนักสานพลัง

วันนี้สมัชชาสุขภาพจังหวัดชัยภูมิ มีเรื่องประทับใจจากเวทีสาธารณะ ในหัวข้อ


สานพลัง ด้วยปัญญาสามฐาน : อีกหนึ่งบทเรียนจากสุนทรียสนทนาว่าด้วยคนพิการและผู้สูงอายุ 
เนื้อหาจากเครือข่ายสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่/ประเด็น เป็นเรื่องราวที่ให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจมากในการดำเนินงานด้านสุขภาพ การพัฒนากำลังคนที่มีบทบาทหลายบทบาทในสังคม แต่ทุกคนมีความเสียสละในการทำงาน เรื่องที่มาจากบทความนี้เน้นย้ำเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในการมีส่วนร่วมในเรื่องของการพัฒนา โดยผู้เล่า ใช้แนวทางการพัฒนาด้วยการใช้ สุนทรียสนทนา เป็นเครื่องมือในการเล่าเนื้อหา "ผมพบว่าผู้เข้าประชุมกว่าครึ่งหรืออาจจะมากกว่า แรกเข้ามาก็มักจะพกคำถามอย่างนี้มาด้วยเสมอ “เราจะได้อะไร” “จะเอาความรู้อะไรกลับไปขับเคลื่อน” ฯลฯ
ไม่แปลกใจที่คนทำงานพัฒนาสังคมส่วนใหญ่ มักจะตั้งคำถามอย่างนี้ เวลาไปเจอหลักสูตรการอบรมที่เน้นการพัฒนาตนเองจาก “ด้านใน” ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะนักพัฒนาส่วนใหญ่ถูกปลูกฝัง หล่อหลอม จนคุ้นชินและกลายเป็นส่วนหนึ่งของตรรกะความคิดแบบโครงสร้างและเหตุผลนิยม และฝังใจว่ามันเป็นปัญญาชุดเดียวที่ใช้พัฒนาโลกนี้ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงปัญญามีอยู่อย่างน้อยสามฐานที่ต้องใช้เชื่อมโยง สานพลังกัน
ปัญญาฐานแรกเป็น ฐานกายหรือท้อง คนบางพวกจะถนัดการใช้ปัญญาฐานนี้ คือ ฐานการลงมือทำ เน้นทำแล้วค่อยคิด ค่อยรู้สึกทีหลัง เรียกได้ว่าเป็นนักปฏิบัติตัวยง
ปัญญาฐานที่สองเป็นฐานหัว คนจำพวกนี้จะเน้นการคิด ใคร่ครวญ เป็นโครงสร้าง เป็นระบบ เป็นนักคิดวิเคราะห์
ส่วนปัญญาฐานที่สาม เป็นฐานใจ คนที่ถนัดฐานใจนี้จัดเป็นพวกใช้ความรู้สึก ใช้สัญชาติญาณเป็นตัวตั้ง
วิทยากร ชี้ให้เห็นจากเกมที่ฝึกเล่นว่า แต่ละเกม ช่วยสะท้อนว่าแต่ละคนมีฐานของปัญญาต่างกัน
ปัญญาทั้งสามนี้ แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน แต่สังคมมักให้คุณค่าฐานหัวมากกว่าอีกสองฐาน ดูอย่างสำนวนที่ว่า “จงคิดก่อนทำ” ทั้งที่หลายเรื่อง อย่างเกิดเหตุฉุกเฉินจะรอคิด มันก็ไม่ทัน หลายเรื่องเช่นการช่วยชีวิต ต้องใช้ใจเป็นหลัก เหตุผลถูกผิดว่ากันอีกที
คนเรามักติดยึดกับการพัฒนา กับแก้ปัญหาโดยใช้ปัญญาเชิงเดี่ยว คือปัญญาชุดเดียว โดยเฉพาะปัญญากระแสหลักคือปัญญาฐานหัวเป็นตัวตั้ง ซึ่งไม่อาจจะแก้ปัญหาหรือขับเคลื่อนประเด็นพัฒนาที่ซับซ้อนและอ่อนไหวได้ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ว่ายังมีปัญญาในแบบอื่นๆอีกที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่า หากแต่ต้องพัฒนาปัญญาทั้งสามฐานให้เติบโตขึ้นอย่างสมดุลในตัวเราและเพิ่มมากขึ้นเป็นเครือข่าย เป็นสังคม
การสานพลัง ในด้านลึก จึงไม่ใช่เพียงแค่การสานภาคีสามภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หากแต่ต้องสานปัญญาด้านในให้สมดุล เป็นการสานพลังที่สมดุลทั้งด้านใน ด้านนอก ร่วมไปพร้อมกันด้วย
พลังที่เกิดจากสานสมดุลทั้งนอกและใน เป็นพลังที่ยั่งยืนและเป็นสุขภาวะมากกว่า และคุณจะเชื่อมั่นคำกล่าวนี้ได้ ก็ต่อเมื่อลงมือทำด้วยตนเองอย่างจริงจังเท่านั้น "

ขอขอบคุณข้อมูล.....โดย วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ นักสานพลังนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม (นนส.ปี 57)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น